การตีความกฎหมาย หมายถึง
การค้นหาความหมายของกฎหมายที่มีถ้อยคำไม่ชัดเจนแน่นอน
คือกำกวมหรือมีความหมายได้หลายทาง
เพื่อหยั่งทราบว่าถ้อยคำของบทบัญญัติของกฎหมายว่ามีความหมายอย่างไร[22]
ซึ่งเหตุที่ต้องมีการตีความกฎหมายก็เพราะว่า
ฝ่ายนิติบัญญัติไม่สามารถรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าที่เกิดขึ้นในภายหน้าได้ทุกกรณี
จึงไม่สามารถบัญญัติกฎหมายให้ครอบคลุมทุกกรณี นอกจากนั้น
ฝ่ายนิติบัญญัติอาจมีความผิดพลาดในเรื่องการตรากฎหมายขึ้นใช้บังคับได้ เช่น
บัญญัติกฎหมายไว้เคลือบคลุมหรือขัดแย้งกันเอง[23] เช่นนี้ การใช้กฎหมายจึงต้องมีการตีความกฎหมาย
การตีความกฎหมายต้องพิเคราะห์ตัวอักษรให้ได้ความหมายของตัวอักษร
และการจะรู้ความหมายของตัวอักษรได้ต้องพิเคราะห์เหตุผลหรือความมุ่งหมายของกฎหมาย
การตีความกฎหมายจึงต้องพิจารณาประกอบกันไป 2 ด้าน คือ[24]
พิเคราะห์ตัวอักษร และพิเคราะห์ความมุ่งหมายของกฎหมาย
(เจตนารมณ์ของกฎหมาย) แต่ไม่ได้หมายความว่าต้องพิจารณาตัวอักษรก่อน
ถ้าไม่ชัดจึงดูความมุ่งหมาย
หากแต่ต้องตีความทั้งตัวอักษรและความมุ่งหมายประกอบไปด้วยกัน ทั้งนี้
การตีความกฎหมายจะมีหลักเกณฑ์แตกต่างไปตามลักษณะของกฎหมาย
โดยแยกพิจารณาเป็น 2 ลักษณะ คือ
1. การตีความกฎหมายทั่วไป ต้องใช้ทั้งการตีความตามตัวอักษรประกอบกับการตีความตามเจตนารมณ์
1.1 การตีความตามตัวอักษร เป็นการพิจารณาความหมายของกฎหมายจากตัวบทกฎหมายนั้น แยกออกได้เป็น 3 กรณี คือ
- กรณีใช้ภาษาสามัญ
เมื่อใดคำในตัวบทกฎหมายใช้คำซึ่งเป็นภาษาสามัญที่ใช้อยู่กันทั่วไป
ก็ให้เข้าใจตามความหมายที่เข้าใจกันอยู่ตามธรรมดาทั่วไป
- กรณีใช้ภาษาทางวิชาการหรือภาษาเทคนิค ก็ต้องถือความหมายตามที่เข้าใจกันในวงวิชาการนั้น
- กรณีที่กฎหมายได้ให้บทนิยามความหมายไว้
ในบางกรณีกฎหมายประสงค์ให้คำที่ใช้ในกฎหมายมีความหมายต่างไปจากความหมายที่เข้าใจกันทั่วไป
กฎหมายก็จะมีบทนิยามความหมายของคำนั้น ๆ ไว้
1.2 การตีความตามเจตนารมณ์
เป็นการค้นหาความหมายของถ้อยคำในบทกฎหมายจากเจตนารมณ์หรือความมุ่งหมายของกฎหมายนั้น
ๆ โดยเจตนารมณ์ของกฎหมายแต่ละเรื่องมีไม่เหมือนกัน เช่น
เจตนารมณ์ของกฎหมายอาญามุ่งที่จะควบคุมการกระทำผิดและลงโทษผู้กระทำความผิด
ในขณะที่กฎหมายแพ่งและพาณิชย์มุ่งที่จะให้มีการชดใช้เยียวยาความเสียหาย
2. การตีความกฎหมายพิเศษ
ซึ่งในที่นี้ กฎหมายพิเศษ หมายถึง กฎหมายที่มีโทษอาญา ซึ่งโดยหลัก ได้แก่
ประมวลกฎหมายอาญา นอกจากนี้ยังรวมถึงกฎหมายอื่น ๆ ที่มีโทษทางอาญาด้วย เช่น
พระราชบัญญัติจราจรทางบก พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร เป็นต้น
เหตุที่การตีความกฎหมายอาญามีลักษณะแตกต่างไปจากการตีความกฎหมายทั่วไป
ก็เพราะกฎหมายอาญามีวัตถุประสงค์ในการลงโทษบุคคล
ซึ่งการลงโทษนั้นกระทบสิทธิของประชาชน
จึงต้องใช้กฎหมายอาญาด้วยความระมัดระวัง
โดยกฎหมายอาญามีหลักเกณฑ์ในการตีความ ดังต่อไปนี้
- กฎหมายอาญาต้องตีความโดยเคร่งครัด
- กฎหมายอาญาจะตีความให้เป็นการลงโทษหรือเพิ่มโทษผู้กระทำให้หนักขึ้นไม่ได้
- กฎหมายอาญาในกรณีเป็นที่สงสัยต้องตีความให้เป็นผลดีแก่ผู้ต้องหา
ช่องว่างของกฎหมาย หมายถึง กรณีที่ไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษร
หรือกฎหมายจารีตประเพณีที่จะนำไปใช้ปรับแก่ข้อเท็จจริงได้ กล่าวคือ
ผู้ใช้กฎหมายหากฎหมายเพื่อมาใช้ปรับแก่กรณีไม่พบ โดยช่องว่างของกฎหมายนั้น
เกิดขึ้นได้ใน 2 กรณี คือ
กรณีผู้บัญญัติกฎหมายคิดไปไม่ถึงว่าจะมีช่องว่างในกฎหมาย
หรือกรณีผู้บัญญัติกฎหมายคิดถึงช่องว่างแห่งกฎหมายนั้น
แต่เห็นว่าสำหรับกรณีที่เป็นช่องว่างแห่งกฎหมายยังไม่สมควรบัญญัติไว้ให้ตายตัว[25]
โดยการอุดช่องว่างของกฎหมายนั้น เมื่อไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรบัญญัติไว้ จะมีเครื่องมือที่นำมาใช้ในการอุดช่องว่างของกฎหมาย[26] ตามลำดับ คือ
- จารีตประเพณี ในกรณีที่ไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรบัญญัติไว้
ในการอุดช่องว่างของกฎหมายจะใช้จารีตประเพณี โดยจารีตประเพณีจะต้องมีลักษณะ
ดังนี้
(1) ต้องใช้บังคับมาเป็นเวลานาน
(2) ต้องเป็นที่ยอมรับและถือตามของมหาชนทั่วไป
(3) ต้องไม่ขัดหรือแย้งกับกฎหมาย
(4) ต้องไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีงามของประชาชน
- บทกฎหมายใกล้เคียงอย่างยิ่ง
ในกรณีที่ไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรบัญญัติไว้และไม่มีจารีตประเพณีที่จะใช้ปรับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น
จะต้องใช้บทกฎหมายใกล้เคียงอย่างยิ่ง ซึ่งหมายถึง
การให้เหตุผลโดยอ้างความคล้ายคลึงกัน
โดยเป็นการเทียบเคียงข้อเท็จจริงที่เป็นองค์ประกอบที่บัญญัติไว้ในกฎหมายกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในคดี
โดยพิจารณาว่า ข้อเท็จจริงนั้นมีความคล้ายคลึงกันหรือไม่
หรือบทบัญญัตินั้นเป็นบทบัญญัติที่ใกล้เคียงกันหรือไม่
ถ้าใกล้เคียงกันถึงขนาดก็เป็นบทกฎหมายที่นำมาอุดช่องว่างได้[27]
- หลักกฎหมายทั่วไป
ในกรณีที่ไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรบัญญัติไว้และไม่มีจารีตประเพณีที่จะใช้ปรับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น
รวมทั้งไม่สามารถเทียบเคียงหาบทกฎหมายใกล้เคียงอย่างยิ่งได้
การอุดช่องว่างของกฎหมายจะต้องอาศัยหลักกฎหมายทั่วไปซึ่งเป็นหลักที่กว้างมาก
โดยผู้ที่มีหน้าที่ในการค้นหาหลักกฎหมายทั่วไปก็คือผู้พิพากษาในฐานะศาลซึ่งจะค้นหาจากแหล่งต่าง
ๆ เพื่อนำมาใช้บังคับในระบบกฎหมาย
กฎหมายนั้นมีส่วนสำคัญในการรักษาความสงบเรียบร้อยและสร้างความเป็นธรรมให้กับประเทศชาติ
ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อประชาชนในด้านต่าง ๆ ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ
และสังคม
ดังนั้นการที่ประเทศชาติใดจะพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนให้เป็นไปในแนวทางใด
หากมีบทบัญญัติของกฎหมายเป็นหลักการให้ทุกคนใช้เป็นแนวทางปฏิบัติตาม
ก็ย่อมนำไปสู่ความสำเร็จในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น